Monday, May 25, 2015

IEM vs Full-Size



เป็นคำถามที่สงสัยมานาน เพราะเป็นคนเล่นหูฟังอยู่บ้าง หลังจากที่ลองฟังมาหลาย สิบตัว (ไปลองฟังที่ร้านอ่ะนะ) คือมันมีข้อได้เปรียบเสียเปรียบกันคนละอย่างเนื่องด้วย สรีระของใบหู นั่นเอง

IEM


IEM คือ In Ear Monitor มันเป็นหูฟังที่ต้องยัดเข้าไปในรูหู ทำให้เสียง พุ่งเข้าไปตรง ๆ ผลก็คือ จะทำให้เสียงที่ได้มีรายละเอียดชัดเจน และถูกต้องมาก คม ใส กิ๊ก นอกจากนั้นยังเก็บเสียงรบกวนภายนอกได้ดีมาก ๆ (ก็แน่อะนะ ยัดเข้าไปในรูหูซะขนาดนั้น) พกพาสะดวก



แต่ข้อเสียคือ มิติ image จะไม่ได้ เพราะพวกนี้ต้องอาศัยใบหูของเราในการจับมิติของเสียงนั่นเอง ด้วยเหตุผลข้อนี้ เลยทำให้มีข้อเสียอีกอย่างคือ เบสไม่มีมิติ เบสของ in-ear จะออกมาเป็นลูก ๆ มากกว่า ม้วนเก็บเร็ว แต่ให้ความรู้สึกหนักหน่วงมากกว่า Full Size เหมือนกัน และผมรู้สึกการใส่ in-ear มันจะมีความดันหูที่ผิดจากปกติด้วยนะ ไม่รู้จะมีผลต่อหูมั้ย

Full-Size


Full-Size ซึ่งจะอยู่ในลักษณะครอบหู ทำให้มีมิติมาก มากแบบมากเวอร์อ่ะ (เพราะผมเคยฟังแต่ ear-bud มาตลอด ซึ่งจะค่อนข้างคลาย in-ear )  หน้าหลัง บนล่าง ชัดเจนมาก เบสนี่มีมิติสุด ๆ ยิ่ง Full-Size แบบ Open - Air นี่กว้างสุดลูกหูลูกตา ชอบมาก ๆ ตอนฟังครั้งแรก นึกว่ามันดีกว่า IEM

แต่ ๆๆๆ พอมาฟังเทียบกันดี ๆ ช่วงกลาง และ สูง นี่สู้ IEM ไม่ได้เท่าไหร่ เพราะเสียงมันกระจายออก กว่าจะถึงรูหู เสียงแบบไม่คมเท่า IEM นอกจากนั้น พวก ความนิ่ง ความเงียบ background ก็สู้ไม่ได้ และก็คงเดินทางลำบากน่าดู

สรุป

เพราะฉะนั้นจะเลือกหูฟังแบบไหน ควรจะเลือกที่เหมาะกับความต้องการครับ ไม่ใช่เพียงดูราคาอย่างเดียวแล้วซื้อเนอะ เพราะทุกอย่าง ถ้ามีข้อดี มันก็ต้องมีข้อเสีย แล้วแต่ว่า ใครจะรับข้อเสียของแต่ละอย่างได้มากกว่ากัน

ปล. เรื่องเสียง เป็นความเห็นส่วนตัวที่นำมาแชร์จากสิ่งที่ผมฟังได้มาเท่านั้น ไม่สามารถนำไปอ้างอิงอะไรได้ และไม่มีแหล่งที่มาใด ๆ ทั้งนั้น

ขอบคุณภาพประกอบ จาก Internet ไม่ได้นำมาเพื่อการค้าใด ๆ ทั้งสิ้นนะครับ


ขอบคุณที่อ่านจนจบ

Thursday, February 26, 2015

ประสบการณ์เลี้ยงลูกแบบโลกแห่งความจริง ในสองเดือนแรก



เห็นหลาย ๆ คนที่มีลูกไปแล้ว ถ่ายแต่รูปลูกน่ารัก น่าฟัด น่าหยิก แต่ไม่เคยมีใครออกมากล่าวถึงความยากลำบากในการเลี้ยงลูกเลย เน้นย้ำว่า ไม่ได้บ่น อยากแชร์ประสบการณ์มากกว่า ว่าให้คิดดี ๆ ก่อนมีลูก ถ้ายังไม่พร้อมที่จะรับอะไร ๆ ต่อไปนี้ก็ยังไม่ควรมี

1. รับได้มั้ยกับค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดฝัน - ตอนก่อนคลอดผมก็เตรียมไว้พอสมควรแล้วนะ แต่เชื่อมั้ย มันไม่พอ!!! มันเยอะกว่าที่ผมคิดไปประมาณ 3 - 4 เท่าเลยทีเดียว



2. รับได้มั้ยที่จะไม่มีชีวิตแบบเดิม ๆ ชิว ๆ อีกต่อไป - โดยเฉพาะคุณผู้หญิง ไม่สามารถไปเที่ยวญี่ปุ่น ช็อปปิ้ง กินอาหารแพง ๆ เล่นเกมส์ นอนตื่นสาย ๆ วันเสาร์ อาทิตย์ ชีวิตแบบนั้นไม่มีอีกต่อไป T_T อย่างน้อยก็อีกเป็นปี (หรือตลอดไป)



3. รับได้มั้ยที่ต้องฟังเสียงเด็กร้อง (ซึ่งน่ารำคาญมากในบางอารมณ์) ตลอด 24 ชม. - ก่อนออกมาก็คิดว่าเด็กจะต้องร้องทุกคน ก็โอนะ แต่พอออกมาจริง ๆ โอโห... เด็ก ร้องไห้หนักมาก หนักกว่าที่คิดไว้เยอะ หิวก็ร้อง อึก็ร้อง ฉี่ก็ร้อง พวกนี้ยังพอแก้ได้ แต่ที่หนักสุด คือ "ง่วงก็ร้อง" ง่วงก็นอนไปสิค้าบบบ จะร้องทำม๊ายยย จะให้ ป๊า ม๊า ช่วยยังไงค้าบ บางทีนอนอยู่นาน ๆ เมื่อย ขยับตัวก็ร้อง งง ไปเลย ไม่รู้จะช่วยยังไง พอร้องมาก ๆ พ่อ แม่ ก็จะเครียดมาก แต่เค้าว่า สักสามเดือนจะหายไปนะอาการแบบนี้



4. รับได้มั้ยที่ต้องอุ้มเด็กที่หนักขึ้นทุกวัน วันละหลาย ๆ ชั่วโมง และไม่ค่อยได้นอน - เด็กร้องไห้เยอะมาก ส่วนใหญ่จะร้องให้อุ้ม พอวางลงเตียงก็ร้อง บางทีต้องอุ้มพาดบ่า เมื่อยไหล่ เมื่อยแขนไปหมด แถมไม่ค่อยจะได้นอน โดยเฉพาะคุณแม่ เพราะต้องตื่นมาให้นม ทุก ๆ 2 - 3 ชั่วโมง และคอยอุ้มปลอบเวลาร้อง ไม่มีโอกาสได้นอนยาว ๆ อีกต่อไป



5. รับได้มั้ยที่ต้องกินอะไรเดิม ๆ หลาย ๆ เดือน - เนื่องจากคุณแม่ต้องให้นม อาหารประหลาด ๆ มาก ๆ ก็กินมากไม่ค่อยได้ กินมากเกินไปลูกก็แพ้ เช่น ขนมปัง นมวัว แป้งสาลี ฯลฯ เพราะมันผ่านทางน้ำนมด้วยเช่นกัน ซึ่งคุณพ่อก็ไม่ต่างกัน ต้องกินอะไรแบบที่คุณแม่กินไปด้วย ซึ่งบางทีมันก็เบื่อเหมือนกันนะ นี่ก็กินมาแล้วเกือบสองเดือน พวกอาหารบำรุงน้ำนม อาหารนอกบ้านก็ไม่สะอาด ต้องทำอาหารกินเอง แต่ข้อดีคือประหยัดดี

จากหลาย ๆ ข้อที่กล่าวมา จะเห็นได้ว่าการมีลูกในช่วงแรก ๆ นี่หนักมาก ไม่ได้สวยงามอะไรเลย อย่างที่เห็น ๆ ในรูป Facebook ของทุก ๆ คน รวมทั้งของผมเลยแม้แต่น้อย แต่ก็ไม่ได้แย่ไปทั้งหมดหรอกนะ ก็มีให้ชื่นใจบ้าง เวลาเค้าทำท่าตลก ๆ ยิ้มให้ ก็หายเหนื่อย (แต่ก็เหนื่อยอยู่ดี)



สรุปก็คือ คนที่อยากมีลูก หรือกำลังจะมี ต้องรับมือกับเรื่องพวกนี้ไว้ให้มาก และอาจจะต้องใช้ความอดทนสูงกว่าที่คิดไว้มาก สักปีนึง กว่าจะเข้าที่เข้าทาง คงจะหายเหนื่อยกับความน่ารักของลูกอะนะ ส่วนคนที่ไม่พร้อมจะมี เช่น เด็ก ๆ ในวัยเรียน ก็ขอให้คิดไว้ให้มากว่า สิ่งที่จะเกิดขึ้น มันลำบากมากมายกว่าที่คิดไว้เยอะ ถ้าไม่พร้อม ก็ขอฝากเอาไว้ ณ blog นี้ด้วยแล้วกันครับ

ขอบคุณที่อ่านจนจบ

Sunday, December 28, 2014

[Mini Review] Sony A5100

โดนของใหม่อีกครั้ง แต่คราวนี้ซื้อด้วยเหตุผลเดียวเลยคือ.. เห่อลูก.. จ้าา เลยอยากหากล้องดิจิตอลดี ๆ สักตัวไว้ถ่ายเจ้าตัวน้อยให้น่ารักถูกใจพ่อมันซะหน่อย และจากการที่ห่างหายจากวงการกล้องไปนาน เดี๋ยวนี้มีอะไรที่เปลี่ยนไปมากมาย ประกอบกับบทเรียนจากกล้องชุดที่แล้ว จึงต้องเลือกกล้องที่เหมาะกับความต้องการให้มากที่สุด โดยโจทย์คราวนี้ของผมคือ

1. น้ำหนักเบา - มาอันดับแรกเลย ด้วยความที่เราไม่ได้เป็นนักถ่ายภาพมืออาชีพ และก็แก่ลงแล้วด้วย ไม่สามารถแบกกล้องหนัก ๆ ได้อีกต่อไป ไหนจะต้องอุ้มเจ้าตัวเล็กไปเที่ยวอีก กล้องหนัก ๆ คงไม่เหมาะ

2. เป็นกล้องที่คนธรรมดาก็ถ่ายได้ - เนื่องจากผมคงจะไม่ได้อยู่กับลูกตลอดเวลา ภรรยาผมอยู่ด้วยเป็นส่วนมาก จึงต้องการกล้องที่ถ่ายง่าย ถึงง่ายมาก ไม่ซับซ้อน ไม่ต้องปรับโน่นนี่ แต่ได้ภาพที่สวยงาม

3. กล้องที่ถ่ายแล้วฟรุ้งฟริ้ง - ข้อนี้เป็นอาการเห่อส่วนตัว อยากได้กล้องที่ถ่ายเด็กแล้วภาพฟรุ้งฟริ้งหน่อย ซึ่งกล้อง Compact ธรรมดามันตอบความต้องการไม่ได้ จึงเลืองกล้องเปลี่ยนเลนส์ได้

จากโจทย์ทั้งสามข้อเลยมาจบตรงที่กล้อง Mirrorless ตัวนี้ซึ่งน้ำหนักเบาและเลือกเลนส์ได้ตามใจชอบ แต่ข้อเสียคือราคาแพง T_T

Sony A5100


จริง ๆ โดยส่วนตัวผมชอบ A6000 มากกว่าแต่มันออกจะใช้ยากไปนิดนึงสำหรับคนไม่เล่นกล้อง ซึ่งไม่ตอบโจทย์ข้อ 2 ผม ทำให้ผมจำใจเลือก A5100 แทน โดยกล้องตัวนี้มีคุณสมบัติดังนี้

Specification

  • 24.3 megapixel APS-C CMOS sensor
  • Bionz X image processor
  • Hybrid AF system with 25 contrast-detect and 179 phase-detect points
  • 6 fps continuous shooting with subject-tracking
  • 3-inch flip-up LCD with 921,600 dots and touch functionality
  • Built-in GN4 flash
  • Full HD video recording at 1080/60p and 24p with XAVC S support
  • Simultaneous recording of 1080p and 720p video
  • Wi-Fi with NFC capability and downloadable apps
ซึ่งดูจาก Spec แล้วไม่หนีกับ A6000 มาก แค่ไม่มี EVF (E-View finder) กับ ที่ต่ออุปกรเสริม Continuous shooting ช้ากว่าเล็กน้อย และเพราะคุณสมบัตินี้ ผมอยากได้เป็นพิเศษ เลยเลือกกล้องของ Sony


นอกจากนั้น A5100 มีคุณสมบัติที่ A6000 ไม่มีคือ ถ่าย Selfie ได้!!! มันพับจอได้ถึง 180 องศาเลยทีเดียว นอกนั้นยังเป็น Touchscreen focus (จิ้มแล้วโฟกัสวัตถุที่จิ้ม) อีกต่างหาก จึงง่ายมาก ๆ สำหรับคนธรรมดาใช้

Design


หน้าตารูปร่างเหมือนกล้อง Compact สมัยก่อน ไม่ใหญ่มาก พกไปไหนมาไหนสบาย ๆ น้ำหนักเบา จะใหญ่ก็มีแค่ตัวเลนส์ที่เสริมเข้าไป แต่ก็ไม่รู้สึกเทอะทะเหมือนกล้อง DSLR ขนาดใหญ่


เลนส์ถอดเปลี่ยนได้ (แน่ล่ะ) ขนาดของเลนแต่ละแบบเล็กดีมาก ๆ ไม่รู้สึกเกะกะเวลาพกไปไหนมาไหน


ด้านหลัง อุทิศให้ touchscreen ไปประมาณ 80 % เลยทีเดียว ถ้าอยากถ่ายแบบง่าย ๆ ก็ตั้ง Auto แตะหน้าจอ ถ่ายได้เลย หรือถ่ายแบบยาก ๆ ปรับโฟกัส Speed shutter ก็ไม่ลำบากจนเกินไป ไม่มี EVF ทำให้เปลืองแบตน่าดู


ด้านบนให้แฟลชกิ๊กก๊อกมาหนึ่งอัน คงไม่ได้ใช้ และต่ออุปกรณ์เสริมภายนอกไม่ได้ เช่นแฟลชดี ๆ


เพิ่มความฟรุ้งฟริ้ง

ด้วยประสิทธิภาพของเลนส์ Kit มันยังไม่ตอบโจทย์ของข้อ 3 ของผม ยังฟรุ้งฟริ้ง หลังละลายไม่พอ เลยละลายเงินซื้อเลนส์เพิ่มอีก T_T ซึ่งมีสองเลนส์ที่ผมสนใจคือ 50mm F1.8 และ 35mm F1.8 ตัว 50mm ถูกกว่ามาก ซื้อพร้อมกล้องลด 50% แต่จากประสบการณ์ส่วนตัว 50mm ใช้ยากมาก ระยะถอยมันไกลมาก ต้องเปลี่ยนเลนส์ไปมาลำบาก เลยกัดฟันซื้อ 35mm แทนครับ



ส่วนเรื่องภาพยังไม่มีเวลาได้ออกไปถ่ายเลย ไว้จะมาลงรูปให้ดูนะครับ

สรุป

จากที่ลองไปเล่นและใช้งานที่ร้าน สรุปข้อดีข้อเสียได้ดังนี้

ข้อดี

1. น้ำหนักเบา พกพาสะดวก
2. ใช้งานง่าย มี Touchscreen
3. Selfie ได้ ถูกใจสาว ๆ
4. ราคาตัวกล้องไม่แพง
5. Focus ไวมาก
6. มี continuous shooting feature เอาไว้ทำดุ๊กดิ๊กเวลาลูกวิ่ง (เห่อ)

ข้อเสีย
1. ไม่มี EVF ทำให้เปลืองแบตแน่นอน
2. ต่ออุปกรณ์เสริมภายนอกไม่ได้ ไม่รู้จะนับเป็นข้อดีหรือข้อเสียดี เพราะไม่ต้องซื้ออุปกรณ์เสริมให้เปลืองเงิน
3. เลนส์แพงมั่กๆ อย่างตัว 35mm ก็หมื่นสองแล้ว
4. Body ดูกิ๊กก๊อกไปนิดนึง
5. อันนี้หงุดหงิดมาก ไม่มีที่ชาร์จแบตแยกให้ ต้องชาร์จผ่านกล้อง ซึ่งช้ามาก อยากได้ต้องซื้อเพิ่มเอง

โดยรวมโอเคมากสำหรับผมและภรรยา เพราะใช้ไม่ยาก และสามารถปรับแต่งได้ระดับโปร ที่สำคัญจะได้เก็บบันทึกภาพลูกน่ารัก ๆ สวย ๆ ไว้ให้เค้าดูตอนโต ^ ^

ขอบคุณที่อ่านจนจบครับ


Sunday, October 26, 2014

[Review] TP-Link: TD-W8968 ADSL Modem Router


เมื่อวันก่อนได้มีโอกาสเปลี่ยน Router ใหม่ เนื่องจาก Router เก่า มีปัญหาเกี่ยวกับการทำ NAT หรือ Virtual Servers (คืออะไร ก็ช่างมันเถอะ) ทำให้เล่นเกม Online ไม่ได้ จึงไปจัด Router ตัวใหม่ ใช้เวลาเลือกอยู่สักอาทิตย์ ได้สรุปว่าตอนนี้ที่ดัง ๆ มีอยู่ 2 ยี่ห้อคือ

1. Asus - เค้าว่ากันว่า ยี่ห้อนี้ของแรงและดี มีคุณภาพ เทพมาก (ตามคำบอกเล่า) แต่ข้อเสียคือ แพง และรับประกันแค่ 3 ปี

2. TP-Link - คุณภาพอยู่กลาง ๆ ไม่ได้ดีอะไรมากมาย มีหลายเกรดให้เลือก แต่ข้อดีคือ ประกันเค้าดี มีปัญหาเปลี่ยนให้ฟรี ได้ของเลย ขึ้นชื่อเรื่องนี้

จากสองยี่ห้อข้างต้น ไม่ต้องคิดเลยว่า คนงก ๆ อย่างผม ไม่ได้เน้นเรื่องความแรงอะไรมาก ก็เลือก TP-Link อยู่แล้ว

Design



หน้าตาผมจัดว่าดูตลกดี รูเต็มเลย แต่ช่วยระบายความร้อนได้มากแน่ ๆ เสาสองเสาถอดเปลี่ยนได้ มีไฟบอก status ชัดเจน


ด้านหลัง มี Port Lan 4 ช่อง ช่องเสียบสายโทรศัพท์ (Modem) ที่เจ๋งคือ USB เอาไว้แชร์ Printer, External HDD และ เสียบ Air card เพื่อเอาไว้แชร์ 3G แต่คนขายบอกว่าต้องใช้ Air card chip ของ Huawei เท่านั้นนะครับ ผมยังไม่ได้ลอง ไม่มี Aircard ใช้อะ

การใช้งาน


เหมือน Router ทั่วไป... (สั้นไปมั๊ยย คิดได้แค่นั้นจริง ๆ) 

เอายาวกว่านี้นิดนึง คือ เน็ตลื่นไหลดี ดีกว่าตัวเก่ามาก สองเสาสัญญาณแรงขึ้นมาก ออกนอกห้องมาถึงหน้าลิฟท์เลย (ตัวเก่าเสาเดียว ออกนอกห้องก็ไม่ได้แล้ว) เข้าไป config ได้ที่ 192.168.1.1 แต่ DHCP ตลก ๆ คือแจก IP เริ่มที่ 192.168.1.101 เป็นต้นไป ไม่มี QoS config อื่น ๆ ก็เหมือน Router ทั่ว ๆ ไปคับ ไม่ยาก

สรุป


ผมซื้อเพราะตัวเก่ามีปัญหา ไม่ได้ชอบอะไรตัวนี้เป็นพิเศษ แต่ TP-Link ขึ้นชื่อเรื่องการรับประกัน ต้องลองดูอีกสามสี่ปี ว่าจะดีสมชื่อมั้ย เทคโนโลยีตอนนั้นอาจจะทำให้ต้องซื้อใหม่แล้วก็ได้ครับ

คะแนน: 8/10

ขอบคุณที่อ่านจนจบครับ





Wednesday, September 24, 2014

แกะกล่อง Theorem 720


นาน ๆ จะเขียน Blog สักที จากเมื่อสองปีที่แล้ว ผมได้ซื้อเจ้า PK1 หูฟัง Ear Bud สุดเทพ มาแล้ว แต่.. ความต้องการของคนเราไม่เพียงพอ ผมได้เกิดกิเลสขึ้นอีกครั้ง เมื่อผมได้ไปฟัง DAC-Amp ตัวนึงมา แล้วรู้สึกว่าเสียงดีกว่าที่ตัวที่มีอยู่


DAC-Amp ตัวเก่าของผม

DAC-Amp คืออะไร

หลาย ๆ อาจจะกำลังสงสัย DAC-Amp คืออะไร ผมสรุปง่าย ๆ เอาที่คนปกติเข้าใจคือ Sound Card ใน computer ที่สามารถ ขยายเสียงได้ นั่นเอง

อธิบายเพิ่มเติมคือ ปกติแล้วเพลงในเครื่องเราจะเก็บเป็น Digital ใช่ไหมครับ แล้วมันจะถูกแปลงเป็นเสียง แปลงจาก Digital to Analog Convertor หรือ DAC ซึ่งคอมพิวเตอร์ทั่วไปจะมี Sound Card อยู่แล้ว ซึ่งมันจะไม่ดีนัก เช่น มีสัญญาณรบกวนเยอะ ขยายเสียงได้ไม่มาก

ส่วน ภาค Amp นั้น เอาไว้ขยายเสียง เพื่อขับลำโพง ที่ต้องการกำลังขับสูง ยกตัวอย่างเช่น เราอาจจะเคยเสียบลำโพง หรือ หูฟัง บางชนิด แล้วรู้สึกว่า เอ๊ะ ทำไมไม่ค่อยดังเลยนะ เป็นเพราะมันต้องใช้กำลังขับมันสูงมากนั่นเอง จึงต้องมี ภาค Amp มาใช้ในการขยายเสียง

เพราะฉะนั้น เจ้า DAC-Amp นี้ มันก็คล้าย ๆ กับการซื้อ Sound Card เทพ ๆ เอามาต่อกับคอม แต่ข้อดีของมันคือ มันสามารถใช้กับเครื่องเล่นเพลง Player อื่น ๆ ได้ เช่น iPhone, iPad, iPod แล้วค่อยนำมาต่อกับหูฟังหรือลำโพงอีกทีนั่นเอง นอกจากนั้นยังสามารถพกพาความสุนทรีย์ไปที่ไหนก็ได้อีกด้วย

นอกจากหน้าที่หลัก ๆ สองอย่างนี้แล้ว มันยังจัดเรียงโมเลกุลของเสียงเสียใหม่ เช่น จาก Player ที่ไม่ค่อยมีเสียงเบส มันสามารถทำให้เสียงเบสออกมาได้เด่นชัดมากขึ้น

แกะกล่อง Theorem 720

หลังจากกล่าวมาซะยืดยาว ได้เวลาอวดเจ้า Theorem 720 กันสักที เริ่มจาก Package กันเลย 

ขอบคุณรูปภาพทั้งหมดจากพี่ที่ผมฝากซื้อนะครับ


หน้าตากล่องสวยหรู (แหงล่ะ ราคาก็หรู)
ด้านข้างจะแสดงอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่รองรับ

ด้านหลังแสดงสรรพคุณมากมาย
โดยรวมแล้ว Packaging จัดว่าสวยงาม สมราคาจริง ๆ ครับ เมื่อแกะกล่องออกมาแล้ว จะเจอแบบนี้

เจอตัวเครื่องเด่นเป็นสง่างาม

เครื่องสวยมากครับ สมกับของมีราคา
ด้านข้าง
ด้านบน
ตัวเครื่องหนักพอสมควร หนักประมาณ Power Bank ที่ Amp เยอะ ๆ เลยทีเดียวครับ ทั้ง Package หนักประมาณ 1 กิโลกรัม ได้ครับ พยายามแกะต่อไปก็เจอ...

เป็นงง... แกะยังไงต่อล่ะเนี่ย

หลังจากพยายามงัดแงะอยู่นาน ก็แกะได้สำเร็จครับ

คู่มือการใช้งานสวยงามมาก
อุปกรณ์ทั้งหมดครับ

อุปกรณ์ที่ได้มาทั้งหมด จะมี ยางรัดกับ Player สายสัญญาณต่าง ๆ ครับ มีสาย Lightning to micro usb cable ด้วยครับ รองรับ iDevice รุ่นใหม่ ๆ อย่างเต็มตัว ส่วนอุปกรณ์อื่น ๆ อยู่ใน List ด้านล่างครับ

- Cypher Labs Theorem 720 DAC®
- Beautiful User Guide
- Low profile 30 pin to USB-mini-A sync cable (for Apple)
- Lightning to USB mini-A cable (for Apple)
- USB A to USB mini-B cable (for computer)
- USB micro to USB mini-B cable (for Android)
- Cypher Labs straps to bundle devices for travel
- Switching 100v / 220v gloss black AC charger with heavy duty red cord and right angle barrel plug
- Embossed leather pad to protect devices when bundled
- Small USB female A to USB male mini-A adapter. Use with any standard 30 pin to USB A or Lightning to USB A sync cable. Great when using iPad or need a longer connection.

สรุป

Package หรูหรามากครับ ออกแบบได้สวยงาย และเรียบง่าย แต่ข้อเสียนิดหน่อยคือ "หนัก" มากสำหรับ Amp พกพาครับ

ส่วนเรื่องประสิทธิภาพ ผมยังไม่ได้ลองเลยครับ ไว้ถ้าลองแล้วจะมาเขียน Review ให้ฟังอีกทีครับ

ส่วนเรื่องราคา ผมขอไม่กล่าวถึง เพราะ... แพงใช้ได้เลย แอบ คุณภรรยาสุดที่รักทั้งสุดสวยและใจดี ซื้อด้วยน่ะครับ จุ๊บ ๆ ลองหาตามเน็ตได้ไม่ยากครับ

ขอบคุณที่อ่านจนจบครับ

Tuesday, January 21, 2014

Japan Trip Day 1: ญี่ปุ่นไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ (22/01/2014)

ต้นปีที่แล้ว (2013) Air Asia ได้มีโปรโมชั่นตั๋วไปญี่ปุ่นราคาถูก ผมกับภรรยาเลยตัดสินใจจองไปเที่ยวต่างประเทศกันอีกครั้ง นับตั้งแต่ไปฮันนีมูนที่นิวซีแลนด์ เมื่อปี 2012 โดยได้ราคาตั๋วที่ 11,000 บาทต่อคน แต่เมื่อรวมค่าโหลดกระเป๋าแล้ว ผมว่ามันไม่ค่อยถูกเท่าไหร่ ตกคนล่ะ 15,000 บาท เพราะ หลังจากที่ญี่ปุ่นปล่อยฟรี Visa ตั๋วราคาถูกก็ปล่อยมากันตรึม ส่วนผมต้องจองกันข้ามปีแถมเป็นหน้าหนาวอีกต่างหาก (Low season) เวลาเดินทางก็ค่อนข้างทรหดอดทนมาก ๆ ไว้จะเล่าต่อจากนี้นะครับ


สำหรับการเตรียมตัวไปญี่ปุ่น ส่วนตัวผมคิดว่ายากมากกก เพราะการเดินทางในประเทศญี่ปุ่นนั้นจะใช้รถสาธารณะล้วน ๆ เวลาการเดินทางต้องเป๊ะเวอร์ แถมรถไฟมีเป็นร้อยสายอย่างกับใยแมงมุม นอกจากนั้นการหาที่เที่ยวในญี่ปุ่นจะว่าง่ายก็ง่าย แต่ผมว่าข้อมูมันล้นจนเกินไปทำให้ตัดสินใจยากว่าจะไปไหนดีในเวลาที่จำกัด

สำหรับข้อมูลรถไฟในประเทศญี่ปุ่นสามารถเข้าไปเช็คตารางเวลาได้ที่ www.hyperdia.com


สำหรับแผนเที่ยวของผมได้วางไว้ว่าจะไปหลายเมือง เพราะไป 12 วัน เลยเลือกที่จะใช้ JR Pass แบบเจ็ดวันในการเดินทาง ราคา 28300 เยน ซื้อเงินสด ลดอีก 3 % ซื้อเงินบาท หรือ เงินเยน ก็ได้ แต่ผมแนะนำให้ซื้อเงินเยนครับ เนื่องจากอัตราแลกเปลี่ยนจะทำให้ถูกกว่า ซึ่งผมคำนาณคร่าว ๆ ดูแล้วก็ไม่ได้ถูกกว่าซื้อตั๋วเองมากนัก แต่เพื่อความสะดวก ผมเลยเลือก JR Pass ครับ

ข้อมูลของ JR Pass หาอ่านได้ที่ http://www.japan-guide.com/e/e2361.html

สถานที่ซื้อ JR Pass ผมซื้อที่ http://www.newtoyotravel.co.th ลุงเจ้าของใจดีมาก ๆ แจกขนม กับ Kitkat ชาเขียว ถ้าใครคิดจะซื้อ JR Pass ผมแนะนำให้ซื้อได้ที่นี่ครับ


หลังจากวางแผนมานานร่วมเดือน (แบบไม่รู้อะไรเลย) ก็ถึงวันเดินทางจริง ถึงเวลาเล่าถึงความทรหดของ Airasia สักที ไฟล์ทผมออกเจ็ดโมงเช้า เริ่มด้วยการตื่นตี 3 เพื่อออกจากบ้านให้ทันตี 4 เพราะกลัวตกเครื่อง เนื่องจากสถานการณ์บ้านเมืองที่ไม่ปกติ


ขึ้นเครื่องบินที่สนามบินดอนเมือง


เวลาที่ถึงคือ ตีสี่ห้าสิบนาที


Airasia ระหว่างประเทศ


สาวที่ไปด้วยยังสวยเหมือนเดิม อิอิ


ได้เวลาขึ้นเครื่อง เครื่องออก 7:05 เวลาประเทศไทย


ผ่าน ตม. สบาย ๆ (จริง ๆ เค้าห้ามถ่ายรูป)


ขึ้นเครื่องไปลงมาเลเซีย อย่างกับรถทัวร์ จากนั้นใช้เวลา 2 ชั่วโมงไปถึงประเทศมาเลเซีย


ถึงแล้วมาเลเซีย เวลาประมาณ 10:15 เวลามาเลเซีย แล้วต้องรอขึ้นรถบัส เอ้ย เครื่องบิน ประมาณ 4 ชั่วโมงครึ่ง


รอนานนักออกมากินข้าวนอกสนามบินซะเลย อันนี้อร่อยใช้ได้


ไอติมของ McDonald ที่มาเลย์ ไม่อร่อยเลย 1.6 ริงกิต แถมมันโกงไป 0.1 อีกต่างหาก โดยรวมมาเลย์ เป็นประเทศที่ไม่น่าอยู่เลย สกปรกมาก เหม็น แมลงวันเยอะ พื้นสนามบินก็ไม่สะอาด ดอนเมืองบ้านเราดีกว่ามาก อยากไปญี่ปุ่นเร็ว ๆ แล้ว


ถึงเวลาขึ้นเครื่อง เครื่องบินลำใหญ่มาก แต่ที่นั่งแน่นสุด ๆ สามที่นั่งต่อ 1 แถว มี 3 แถว รวมแล้ว 9 ที่นั่ง ใช้เวลาเดินทาง 6 ชั่วโมง จากมาเลย์ไปญี่ปุ่น เครื่อง ออกเวลา 15:45 (เวลามาเลย์) ถึงญี่ปุ่นเวลา 22:05 เวลาตามญี่ปุ่น เร็วกว่ากำหนด 1 ชั่วโมง ตม. คนเยอะมาก เนื่องจากยกเว้นวีซ่า  เลยใช้เวลาตรวจนานมากแฟนผมโดนเรียกสอบอีกต่างหาก เสียเวลาไป 1 ชั่วโมงเต็ม 

ปัญหาใหญ่ถัดมาคือ ไม่มีที่พัก!!!! เพราะถึงกลางคืน ประกอบกับเวลาจวนเจียนรถไฟหมด จึงตัดสินใจ นอนสนามบิน เพราะมีทั้งห้องอาบน้ำ 1000 เยน ต่อ 30 นาที ปลั๊กไฟ ร้านสะดวกซื้อพร้อม


ด้านในร้านสะดวกซื้อมีโอเด้งด้วย ผมคิดว่าสบายแล้วคืนนี้ แต่หลับไปสักพัก สนามบินปิด heater!!!! ด้วยความหนาว เลยตื่นขึ้นมา แต่สวรรค์ยังเห็นใจ เพื่อนติดต่อมาพอดี รอดตายแล้วจ้า เลยขอไปนอนบ้านเค้าคืนนึงโดยนั่ง Taxi ไป


เห็นค่า Taxi แล้วจะเป็นลม มันพาหลงอีกต่างหาก หรือแกล้งหลงไม่รู้นะ โดนชาร์จอีก 20% ทั้งหมด 7160 เยน (2700 บาท) 13 กิโลเอง ใครมาญี่ปุ่นแนะนำว่าอย่าคิดลอง Taxi นะครับ

สรุปรอดตายไปหนึ่งคืน มา Airasia ทรหดอดทนมาก ๆ พรุ่งนี้จะเจออะไรร่าตื่นเต้นอีกก็ไม่รู้

ขอบคุณที่อ่านจนจบครับ