Monday, May 25, 2015

IEM vs Full-Size



เป็นคำถามที่สงสัยมานาน เพราะเป็นคนเล่นหูฟังอยู่บ้าง หลังจากที่ลองฟังมาหลาย สิบตัว (ไปลองฟังที่ร้านอ่ะนะ) คือมันมีข้อได้เปรียบเสียเปรียบกันคนละอย่างเนื่องด้วย สรีระของใบหู นั่นเอง

IEM


IEM คือ In Ear Monitor มันเป็นหูฟังที่ต้องยัดเข้าไปในรูหู ทำให้เสียง พุ่งเข้าไปตรง ๆ ผลก็คือ จะทำให้เสียงที่ได้มีรายละเอียดชัดเจน และถูกต้องมาก คม ใส กิ๊ก นอกจากนั้นยังเก็บเสียงรบกวนภายนอกได้ดีมาก ๆ (ก็แน่อะนะ ยัดเข้าไปในรูหูซะขนาดนั้น) พกพาสะดวก



แต่ข้อเสียคือ มิติ image จะไม่ได้ เพราะพวกนี้ต้องอาศัยใบหูของเราในการจับมิติของเสียงนั่นเอง ด้วยเหตุผลข้อนี้ เลยทำให้มีข้อเสียอีกอย่างคือ เบสไม่มีมิติ เบสของ in-ear จะออกมาเป็นลูก ๆ มากกว่า ม้วนเก็บเร็ว แต่ให้ความรู้สึกหนักหน่วงมากกว่า Full Size เหมือนกัน และผมรู้สึกการใส่ in-ear มันจะมีความดันหูที่ผิดจากปกติด้วยนะ ไม่รู้จะมีผลต่อหูมั้ย

Full-Size


Full-Size ซึ่งจะอยู่ในลักษณะครอบหู ทำให้มีมิติมาก มากแบบมากเวอร์อ่ะ (เพราะผมเคยฟังแต่ ear-bud มาตลอด ซึ่งจะค่อนข้างคลาย in-ear )  หน้าหลัง บนล่าง ชัดเจนมาก เบสนี่มีมิติสุด ๆ ยิ่ง Full-Size แบบ Open - Air นี่กว้างสุดลูกหูลูกตา ชอบมาก ๆ ตอนฟังครั้งแรก นึกว่ามันดีกว่า IEM

แต่ ๆๆๆ พอมาฟังเทียบกันดี ๆ ช่วงกลาง และ สูง นี่สู้ IEM ไม่ได้เท่าไหร่ เพราะเสียงมันกระจายออก กว่าจะถึงรูหู เสียงแบบไม่คมเท่า IEM นอกจากนั้น พวก ความนิ่ง ความเงียบ background ก็สู้ไม่ได้ และก็คงเดินทางลำบากน่าดู

สรุป

เพราะฉะนั้นจะเลือกหูฟังแบบไหน ควรจะเลือกที่เหมาะกับความต้องการครับ ไม่ใช่เพียงดูราคาอย่างเดียวแล้วซื้อเนอะ เพราะทุกอย่าง ถ้ามีข้อดี มันก็ต้องมีข้อเสีย แล้วแต่ว่า ใครจะรับข้อเสียของแต่ละอย่างได้มากกว่ากัน

ปล. เรื่องเสียง เป็นความเห็นส่วนตัวที่นำมาแชร์จากสิ่งที่ผมฟังได้มาเท่านั้น ไม่สามารถนำไปอ้างอิงอะไรได้ และไม่มีแหล่งที่มาใด ๆ ทั้งนั้น

ขอบคุณภาพประกอบ จาก Internet ไม่ได้นำมาเพื่อการค้าใด ๆ ทั้งสิ้นนะครับ


ขอบคุณที่อ่านจนจบ

Thursday, February 26, 2015

ประสบการณ์เลี้ยงลูกแบบโลกแห่งความจริง ในสองเดือนแรก



เห็นหลาย ๆ คนที่มีลูกไปแล้ว ถ่ายแต่รูปลูกน่ารัก น่าฟัด น่าหยิก แต่ไม่เคยมีใครออกมากล่าวถึงความยากลำบากในการเลี้ยงลูกเลย เน้นย้ำว่า ไม่ได้บ่น อยากแชร์ประสบการณ์มากกว่า ว่าให้คิดดี ๆ ก่อนมีลูก ถ้ายังไม่พร้อมที่จะรับอะไร ๆ ต่อไปนี้ก็ยังไม่ควรมี

1. รับได้มั้ยกับค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดฝัน - ตอนก่อนคลอดผมก็เตรียมไว้พอสมควรแล้วนะ แต่เชื่อมั้ย มันไม่พอ!!! มันเยอะกว่าที่ผมคิดไปประมาณ 3 - 4 เท่าเลยทีเดียว



2. รับได้มั้ยที่จะไม่มีชีวิตแบบเดิม ๆ ชิว ๆ อีกต่อไป - โดยเฉพาะคุณผู้หญิง ไม่สามารถไปเที่ยวญี่ปุ่น ช็อปปิ้ง กินอาหารแพง ๆ เล่นเกมส์ นอนตื่นสาย ๆ วันเสาร์ อาทิตย์ ชีวิตแบบนั้นไม่มีอีกต่อไป T_T อย่างน้อยก็อีกเป็นปี (หรือตลอดไป)



3. รับได้มั้ยที่ต้องฟังเสียงเด็กร้อง (ซึ่งน่ารำคาญมากในบางอารมณ์) ตลอด 24 ชม. - ก่อนออกมาก็คิดว่าเด็กจะต้องร้องทุกคน ก็โอนะ แต่พอออกมาจริง ๆ โอโห... เด็ก ร้องไห้หนักมาก หนักกว่าที่คิดไว้เยอะ หิวก็ร้อง อึก็ร้อง ฉี่ก็ร้อง พวกนี้ยังพอแก้ได้ แต่ที่หนักสุด คือ "ง่วงก็ร้อง" ง่วงก็นอนไปสิค้าบบบ จะร้องทำม๊ายยย จะให้ ป๊า ม๊า ช่วยยังไงค้าบ บางทีนอนอยู่นาน ๆ เมื่อย ขยับตัวก็ร้อง งง ไปเลย ไม่รู้จะช่วยยังไง พอร้องมาก ๆ พ่อ แม่ ก็จะเครียดมาก แต่เค้าว่า สักสามเดือนจะหายไปนะอาการแบบนี้



4. รับได้มั้ยที่ต้องอุ้มเด็กที่หนักขึ้นทุกวัน วันละหลาย ๆ ชั่วโมง และไม่ค่อยได้นอน - เด็กร้องไห้เยอะมาก ส่วนใหญ่จะร้องให้อุ้ม พอวางลงเตียงก็ร้อง บางทีต้องอุ้มพาดบ่า เมื่อยไหล่ เมื่อยแขนไปหมด แถมไม่ค่อยจะได้นอน โดยเฉพาะคุณแม่ เพราะต้องตื่นมาให้นม ทุก ๆ 2 - 3 ชั่วโมง และคอยอุ้มปลอบเวลาร้อง ไม่มีโอกาสได้นอนยาว ๆ อีกต่อไป



5. รับได้มั้ยที่ต้องกินอะไรเดิม ๆ หลาย ๆ เดือน - เนื่องจากคุณแม่ต้องให้นม อาหารประหลาด ๆ มาก ๆ ก็กินมากไม่ค่อยได้ กินมากเกินไปลูกก็แพ้ เช่น ขนมปัง นมวัว แป้งสาลี ฯลฯ เพราะมันผ่านทางน้ำนมด้วยเช่นกัน ซึ่งคุณพ่อก็ไม่ต่างกัน ต้องกินอะไรแบบที่คุณแม่กินไปด้วย ซึ่งบางทีมันก็เบื่อเหมือนกันนะ นี่ก็กินมาแล้วเกือบสองเดือน พวกอาหารบำรุงน้ำนม อาหารนอกบ้านก็ไม่สะอาด ต้องทำอาหารกินเอง แต่ข้อดีคือประหยัดดี

จากหลาย ๆ ข้อที่กล่าวมา จะเห็นได้ว่าการมีลูกในช่วงแรก ๆ นี่หนักมาก ไม่ได้สวยงามอะไรเลย อย่างที่เห็น ๆ ในรูป Facebook ของทุก ๆ คน รวมทั้งของผมเลยแม้แต่น้อย แต่ก็ไม่ได้แย่ไปทั้งหมดหรอกนะ ก็มีให้ชื่นใจบ้าง เวลาเค้าทำท่าตลก ๆ ยิ้มให้ ก็หายเหนื่อย (แต่ก็เหนื่อยอยู่ดี)



สรุปก็คือ คนที่อยากมีลูก หรือกำลังจะมี ต้องรับมือกับเรื่องพวกนี้ไว้ให้มาก และอาจจะต้องใช้ความอดทนสูงกว่าที่คิดไว้มาก สักปีนึง กว่าจะเข้าที่เข้าทาง คงจะหายเหนื่อยกับความน่ารักของลูกอะนะ ส่วนคนที่ไม่พร้อมจะมี เช่น เด็ก ๆ ในวัยเรียน ก็ขอให้คิดไว้ให้มากว่า สิ่งที่จะเกิดขึ้น มันลำบากมากมายกว่าที่คิดไว้เยอะ ถ้าไม่พร้อม ก็ขอฝากเอาไว้ ณ blog นี้ด้วยแล้วกันครับ

ขอบคุณที่อ่านจนจบ