Tuesday, January 21, 2014

Japan Trip Day 1: ญี่ปุ่นไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ (22/01/2014)

ต้นปีที่แล้ว (2013) Air Asia ได้มีโปรโมชั่นตั๋วไปญี่ปุ่นราคาถูก ผมกับภรรยาเลยตัดสินใจจองไปเที่ยวต่างประเทศกันอีกครั้ง นับตั้งแต่ไปฮันนีมูนที่นิวซีแลนด์ เมื่อปี 2012 โดยได้ราคาตั๋วที่ 11,000 บาทต่อคน แต่เมื่อรวมค่าโหลดกระเป๋าแล้ว ผมว่ามันไม่ค่อยถูกเท่าไหร่ ตกคนล่ะ 15,000 บาท เพราะ หลังจากที่ญี่ปุ่นปล่อยฟรี Visa ตั๋วราคาถูกก็ปล่อยมากันตรึม ส่วนผมต้องจองกันข้ามปีแถมเป็นหน้าหนาวอีกต่างหาก (Low season) เวลาเดินทางก็ค่อนข้างทรหดอดทนมาก ๆ ไว้จะเล่าต่อจากนี้นะครับ


สำหรับการเตรียมตัวไปญี่ปุ่น ส่วนตัวผมคิดว่ายากมากกก เพราะการเดินทางในประเทศญี่ปุ่นนั้นจะใช้รถสาธารณะล้วน ๆ เวลาการเดินทางต้องเป๊ะเวอร์ แถมรถไฟมีเป็นร้อยสายอย่างกับใยแมงมุม นอกจากนั้นการหาที่เที่ยวในญี่ปุ่นจะว่าง่ายก็ง่าย แต่ผมว่าข้อมูมันล้นจนเกินไปทำให้ตัดสินใจยากว่าจะไปไหนดีในเวลาที่จำกัด

สำหรับข้อมูลรถไฟในประเทศญี่ปุ่นสามารถเข้าไปเช็คตารางเวลาได้ที่ www.hyperdia.com


สำหรับแผนเที่ยวของผมได้วางไว้ว่าจะไปหลายเมือง เพราะไป 12 วัน เลยเลือกที่จะใช้ JR Pass แบบเจ็ดวันในการเดินทาง ราคา 28300 เยน ซื้อเงินสด ลดอีก 3 % ซื้อเงินบาท หรือ เงินเยน ก็ได้ แต่ผมแนะนำให้ซื้อเงินเยนครับ เนื่องจากอัตราแลกเปลี่ยนจะทำให้ถูกกว่า ซึ่งผมคำนาณคร่าว ๆ ดูแล้วก็ไม่ได้ถูกกว่าซื้อตั๋วเองมากนัก แต่เพื่อความสะดวก ผมเลยเลือก JR Pass ครับ

ข้อมูลของ JR Pass หาอ่านได้ที่ http://www.japan-guide.com/e/e2361.html

สถานที่ซื้อ JR Pass ผมซื้อที่ http://www.newtoyotravel.co.th ลุงเจ้าของใจดีมาก ๆ แจกขนม กับ Kitkat ชาเขียว ถ้าใครคิดจะซื้อ JR Pass ผมแนะนำให้ซื้อได้ที่นี่ครับ


หลังจากวางแผนมานานร่วมเดือน (แบบไม่รู้อะไรเลย) ก็ถึงวันเดินทางจริง ถึงเวลาเล่าถึงความทรหดของ Airasia สักที ไฟล์ทผมออกเจ็ดโมงเช้า เริ่มด้วยการตื่นตี 3 เพื่อออกจากบ้านให้ทันตี 4 เพราะกลัวตกเครื่อง เนื่องจากสถานการณ์บ้านเมืองที่ไม่ปกติ


ขึ้นเครื่องบินที่สนามบินดอนเมือง


เวลาที่ถึงคือ ตีสี่ห้าสิบนาที


Airasia ระหว่างประเทศ


สาวที่ไปด้วยยังสวยเหมือนเดิม อิอิ


ได้เวลาขึ้นเครื่อง เครื่องออก 7:05 เวลาประเทศไทย


ผ่าน ตม. สบาย ๆ (จริง ๆ เค้าห้ามถ่ายรูป)


ขึ้นเครื่องไปลงมาเลเซีย อย่างกับรถทัวร์ จากนั้นใช้เวลา 2 ชั่วโมงไปถึงประเทศมาเลเซีย


ถึงแล้วมาเลเซีย เวลาประมาณ 10:15 เวลามาเลเซีย แล้วต้องรอขึ้นรถบัส เอ้ย เครื่องบิน ประมาณ 4 ชั่วโมงครึ่ง


รอนานนักออกมากินข้าวนอกสนามบินซะเลย อันนี้อร่อยใช้ได้


ไอติมของ McDonald ที่มาเลย์ ไม่อร่อยเลย 1.6 ริงกิต แถมมันโกงไป 0.1 อีกต่างหาก โดยรวมมาเลย์ เป็นประเทศที่ไม่น่าอยู่เลย สกปรกมาก เหม็น แมลงวันเยอะ พื้นสนามบินก็ไม่สะอาด ดอนเมืองบ้านเราดีกว่ามาก อยากไปญี่ปุ่นเร็ว ๆ แล้ว


ถึงเวลาขึ้นเครื่อง เครื่องบินลำใหญ่มาก แต่ที่นั่งแน่นสุด ๆ สามที่นั่งต่อ 1 แถว มี 3 แถว รวมแล้ว 9 ที่นั่ง ใช้เวลาเดินทาง 6 ชั่วโมง จากมาเลย์ไปญี่ปุ่น เครื่อง ออกเวลา 15:45 (เวลามาเลย์) ถึงญี่ปุ่นเวลา 22:05 เวลาตามญี่ปุ่น เร็วกว่ากำหนด 1 ชั่วโมง ตม. คนเยอะมาก เนื่องจากยกเว้นวีซ่า  เลยใช้เวลาตรวจนานมากแฟนผมโดนเรียกสอบอีกต่างหาก เสียเวลาไป 1 ชั่วโมงเต็ม 

ปัญหาใหญ่ถัดมาคือ ไม่มีที่พัก!!!! เพราะถึงกลางคืน ประกอบกับเวลาจวนเจียนรถไฟหมด จึงตัดสินใจ นอนสนามบิน เพราะมีทั้งห้องอาบน้ำ 1000 เยน ต่อ 30 นาที ปลั๊กไฟ ร้านสะดวกซื้อพร้อม


ด้านในร้านสะดวกซื้อมีโอเด้งด้วย ผมคิดว่าสบายแล้วคืนนี้ แต่หลับไปสักพัก สนามบินปิด heater!!!! ด้วยความหนาว เลยตื่นขึ้นมา แต่สวรรค์ยังเห็นใจ เพื่อนติดต่อมาพอดี รอดตายแล้วจ้า เลยขอไปนอนบ้านเค้าคืนนึงโดยนั่ง Taxi ไป


เห็นค่า Taxi แล้วจะเป็นลม มันพาหลงอีกต่างหาก หรือแกล้งหลงไม่รู้นะ โดนชาร์จอีก 20% ทั้งหมด 7160 เยน (2700 บาท) 13 กิโลเอง ใครมาญี่ปุ่นแนะนำว่าอย่าคิดลอง Taxi นะครับ

สรุปรอดตายไปหนึ่งคืน มา Airasia ทรหดอดทนมาก ๆ พรุ่งนี้จะเจออะไรร่าตื่นเต้นอีกก็ไม่รู้

ขอบคุณที่อ่านจนจบครับ







Friday, January 3, 2014

ว่าด้วยเรื่อง "ลูก"


คำเตือน : คนที่มีลูกแล้ว หรือ กำลังจะมีไม่ควรเข้ามาอ่าน เพราะอาจจะมีบางประโยค หรือบางคำพูดที่ขัดใจไปบ้าง ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ก่อนเลยครับ

อยู่ ๆ ก็มีอารมณ์ เขียน Blog เรื่อง "ลูก" กับเค้า อาจจะเป็นเพราะเห็นเพื่อน ๆ หลายคน เริ่มมีลูกกันบ้างแล้ว และประกอบกับอายุ (ของภรรยา) มากขึ้นเรื่อย ๆ ความเสี่ยงในการมีลูกนั้นก็จะมากขึ้น ทั้งแม่ และ ลูก ก็เลยมานั่งคิดว่า เราควรจะมีได้แล้วหรือยัง อย่างไร

หลัง จากแต่งงานกันกับภรรยามาแล้ว 2 ปี ความหวานยังไม่ไ้ด้ลดลงเลย ฮิ้วววว ไม่รู้สึกว่าขาดอะไรไป ไม่เหงาด้วย แต่จริง ๆ ก็คิดนะว่าจะมีเจ้าตัวน้อย ก็คงมีความสุขดี แต่ด้วยปัจจัยหลาย ๆ อย่าง ที่ต้องคิดถึงให้มากกว่ารุ่น พ่อ แม่ ปู่ ย่า เราให้มาก ๆ




พร้อมหรือยัง?


คงเป็นคำถามที่หลาย ๆ คนคิดก่อนที่จะมีเด็กมาวิ่งเล่นในบ้านแน่ ๆ แล้วอะไรคือ ความพร้อม (ของผม)

1.ฐานะการเงิน


เมื่อก่อน คงเคยได้ยินคำที่เค้าบอกไว้ว่า มีลูก 1 คน จนไป 7 ปี เดี๋ยวนี้คงไม่ใช่ อาจจะจนไปสัก 10 - 20 ปีเลยก็ได้ เพราะสมัยนี้ การจะเลี้ยงเด็กคนนึง ให้มีคุณภาพต้องใช้ค่าใช้จ่ายสูงมาก ซึ่งตอนนี้มีแต่หนี้ ลำพังแค่ภรรยา ยังทำให้เค้าสบายไม่ได้เลย (เขียนแล้วน้ำตาจะไหล T_T) จะเอาเด็กอีกคนให้มาลำบากด้วยอีกทำไม อีกอย่างต้นทุนชีวิตก็น้อยนิด ไม่สามารถจะรับความเสี่ยงด้านการเงินได้มากเหมือนคนอื่น ๆ เกิดตกงาน (ซึ่งตอนนี้ก็...) ไม่มีจะกิน จะเอาอะไรไปเลี้ยงลูก เลี้ยงเมียล่ะคร้าบ

2. ด้านสังคม


สังคมสมัยนี้ก็นะ อาจจะเป็นเพราะผมเกิดมาในกรุงเทพ ฯ ตั้งแต่เด็ก ๆ ชีวิตก็ไม่ได้ลำบากนัก แต่ก็ไม่ได้สบายเหมือนหลาย ๆ คน และอีกอย่างสังคมเลวร้ายขึ้นทุก ๆ วัน มีแต่ความเห็นแก่ตัว เอารัดเอาเปรียบ ทะเลาะเบาะแว้ง ไม่เห็นจะมีความสุขตามความเจริญที่เพิ่มขึ้นเลย จะให้เด็กคนนึงมาเจอสังคมที่เลวร้ายกว่าผมสมัยเด็ก ๆ เนี่ยนะ คงน่าสงสารน่าดูเลย ถ้าจะแก้เรื่องพวกนี้ คงต้องกลับไปแก้ด้วยข้อ 1 เพราะฉะนั้น ถ้าอยู่กรุงเทพ ฯ ผมก็คงไม่คิดจะมีลูก อาจจะไปอยู่ต่างจังหวัด ให้ลูกเจอแต่สิ่งดี ๆ สวย ๆ งาม ๆ อย่างน้อยก็ดีกว่าในระดับนึง

3. สุขภาพ


เรื่องนี้อาจจะเป็นกังวลมากไปหน่อย แต่รู้สึกว่าตั้งแต่ขึ้นเลข 3 สุขภาพแย่ลงอย่างรวดเร็ว ถ้ามีลูกแล้ว หัวหน้าครอบครัวอย่างผม เป็นอะไรไปขึ้นมาจะทำอย่างไร ทิ้งลูก กับ ภรรยา ให้อยู่ในโลกเบี้ยว ๆ นี้สองคนคงลำบากแย่ เป็นห่วง และเป็นกังวลเรื่องอนาคตที่ยังไม่เกิดมาก ๆ


มีลูกแล้วดียังไง?


ถ้าถามว่าอยากมีลูกมั้ย บอกได้เต็มปากเลยว่า "อยากมี" แน่นอน แต่ถ้าจะให้พูดถึงข้อดีของการมีลูก ยังนึกไม่ออกเลยข้อดีของการมีลูกเลยสักข้อจริง ๆ นึกได้แต่ข้อเสียเยอะแยะไปหมด ข้อเสีย (ของผม) เท่าที่คิดได้คือ

1. ค่าใช้จ่ายสูง - ตั้งแต่เกิด จน จบมหาวิทยาลัย หาเงินเองได้ ผมคิดว่าผมต้องใช้เงินพ่อแม่ไปเป็นล้านแล้ว ขนาดจบโรงเรียนแบบไม่ได้เด่นดังอะไรนะ แล้วถึงรุ่นลูกผมต้องใช้มากกว่านี้อีกกี่เท่า

2. เสียเวลาส่วนตัว - เห็นเค้าว่าจะเสียเวลาส่วนตัวไปประมาณ 60 - 70 % เลย บางคนการเสียการเสียงานไปเลยก็มี ทำอะไรเหมือนเดิมไม่ได้หลาย ๆ อย่าง แต่ก็คงได้รับความสุขกับลูกมาแทน

แค่สองข้อข้างบน ก็แย่แล้ว ไหนจะต้องคอยมาเป็นกังวล จะทำอะไรก็ต้องคิดถึงแต่ลูกบ้างล่ะ ลูกเจ็บ ลูกป่วย เราเองคงทรมานน่าดู แต่ถึงตอนเรามีเราคงไม่ต้องการอะไรแล้ว มีอะไรก็คงให้ลูกหมด


ไม่มีลูกไม่กลัวเหงาเหรอ?


จริง ๆ ก็ไม่กลัวนะ อยู่กับภรรยามีความสุขดี (มากด้วย อิอิ) อยู่กันแบบสองตายายไปจนแก่ เลี้ยงหมา เลี้ยงแมวไปก็ได้ เรื่องไ่ม่มีคนมาเลี้ยงไม่ต้องกลัว ไม่มีลูก เงินเหลือเยอะแยะ เก็บไว้ให้ตัวเองตอนแก่ได้สบาย ทำประกันสุขภาพเดี๋ยวนี้มีให้เลือกเยอะแยะ มีลูกน่ะ เค้าก็ต้องสร้างเนื้อสร้างตัวของเค้า ถึงตอนนั้นเราก็ไม่อยากจะเอาเงินลูกมารักษาเราอยู่ดีแหละ เชื่อผมเถอะ เราก็ต้องเผื่อไว้ให้ตัวเองตอนแก่อยู่ดีแหละ ดีไม่ดีเราอยากจะเอาเงินที่เก็บไว้รักษาตัวตอนแก่ เก็บไว้ให้ลูกแทนอีกต่างหาก ด้วยความเป็นห่วงเค้านั่นแหละ

สรุป


จริง ๆ ไม่มีอะไรมาก ที่เขียนมาซะยืดยาว แค่อยากจะบอกว่า "อยากมีลูกแล้วโว้ยยยยยยยยยย" จบนะ

ขอบคุณที่อ่านจนจบครับ